การสอบ TOEIC คืออะไร? อัปเดตข้อมูลการสอบปี 2567

การสอบ TOEIC คืออะไร? อัปเดตข้อมูลการสอบปี 2567

หากคุณกำลังเตรียมตัวเพื่อสมัครงานในบริษัทที่ต้องใช้ทักษะภาษาอังกฤษ หรือวางแผนศึกษาต่อในต่างประเทศ การสอบ TOEIC (Test of English for International Communication) คือสิ่งที่คุณควรใส่ใจเป็นอย่างยิ่ง เนื่องจากการสอบ TOEIC เป็นการวัดความสามารถในการใช้ภาษาอังกฤษ โดยเฉพาะในสถานการณ์ทางธุรกิจหรือการทำงาน ซึ่งคะแนนจากการสอบ TOEIC เป็นที่ยอมรับในหลายบริษัทและสถาบันการศึกษาทั่วโลก

ดังนั้นบทความนี้ ทางเราจึงจะมาแนะนำเกี่ยวกับข้อมูลการสอบ TOEIC ฉบับอัปเดตปี 2567 ว่าปัจจุบันนี้มีการเปลี่ยนแปลงไปอย่างไรบ้าง การสอบ TOEIC คืออะไร ค่าสอบปัจจุบันราคาเท่าไร และ TOEIC สอบอะไรบ้าง เพื่อให้ทุกคนเตรียมตัวให้พร้อมก่อนสอบนั่นเอง

การสอบ TOEIC คืออะไร?

การสอบ TOEIC หรือ Test of English for International Communication เป็นการสอบวัดความสามารถทางภาษาอังกฤษที่มุ่งเน้นการใช้ภาษาในสถานการณ์เชิงธุรกิจและการทำงานระดับนานาชาติ ซึ่ง TOEIC นั้นพัฒนาขึ้นโดย Educational Testing Service (ETS) ซึ่งเป็นองค์กรไม่แสวงหากำไรในสหรัฐอเมริกา การสอบ TOEIC ถูกออกแบบมาเพื่อตรวจสอบความสามารถในการใช้ภาษาอังกฤษในสถานการณ์การทำงานที่มีการสื่อสารกับคนหลากหลายชาติ

ทำไมการสอบ TOEIC ถึงสำคัญ?

ในปี 2567 การแข่งขันในตลาดงานทั่วโลกยังคงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ความสามารถในการใช้ภาษาอังกฤษจึงเป็นจุดแข็งที่ช่วยเพิ่มโอกาสในการได้งานที่ดีขึ้น โดยเฉพาะในบริษัทข้ามชาติ การมีคะแนน TOEIC ที่สูงสามารถใช้เป็นหลักฐานในการแสดงถึงความสามารถในการสื่อสารภาษาอังกฤษของคุณ นอกจากนี้ หลายบริษัทต้องการพนักงานที่มีคะแนน TOEIC เพื่อใช้ในการพิจารณาความสามารถในการทำงานร่วมกับทีมงานจากหลากหลายประเทศอีกด้วย

สำหรับปี 2567 การสอบ TOEIC ได้รับการอัปเดตบางส่วนเพื่อให้สอดคล้องกับการใช้ภาษาในปัจจุบันมากยิ่งขึ้น ไม่ว่าจะเป็นเนื้อหาที่เน้นไปทางทักษะที่สำคัญในสถานการณ์ธุรกิจสากล หรือการสอบที่มีความท้าทายมากขึ้น โดยมีการเพิ่มรูปแบบคำถามที่ต้องใช้ความสามารถในการฟังและอ่านที่สูงขึ้น เป็นต้น เพื่อให้เข้าใจและเห็นภาพมากยิ่งขึ้น มาดูจุดประสงค์ของการสอบ TOEIC กันบ้าง

คะแนนสอบ TOEIC ใช้ทำอะไรได้บ้าง?

อย่างที่ทราบดีว่า การสอบ TOEIC นั้นมีความสำคัญซึ่งเป็นการสอบวัดความรู้ภาษาอังกฤษ บริษัทต่าง ๆ มีการใช้คะแนนในการประเมินทักษะความสามารถเพื่อรับเข้าทำงานจริง ดังนั้นเรามาดูกันว่าจุดประสงค์ในการสอบ TOEIC นั้นมีอะไรบ้าง ทำไมถึงต้องสอบ

  1. เป็นการประเมินความสามารถในการใช้ภาษาอังกฤษ ในการทำงานและสื่อสารในสภาพแวดล้อมระดับนานาชาติ
  2. ใช้ในการรับสมัครงาน หลายองค์กรใช้คะแนน TOEIC ในการประเมินผู้สมัครงาน โดยเฉพาะบริษัทข้ามชาติหรือองค์กรที่ต้องมีการสื่อสารกับคนจากต่างประเทศ จึงใช้การสอบ TOEIC เพื่อวัดระดับภาษาของผู้สมัครงาน
  3. การเลื่อนตำแหน่ง พนักงานที่ต้องการเลื่อนตำแหน่งในบริษัทที่มีการสื่อสารเป็นภาษาอังกฤษ อาจจะต้องมีคะแนน TOEIC เพื่อแสดงถึงความสามารถในการสื่อสาร
  4. เพื่อการศึกษา บางสถาบันการศึกษาใช้คะแนน TOEIC เป็นส่วนหนึ่งในการประเมินความสามารถทางภาษาอังกฤษของนักเรียน โดยเฉพาะในสาขาวิชาที่ต้องใช้ภาษาอังกฤษในการสื่อสาร
รูปแบบการสอบ TOEIC

รูปแบบการสอบ TOEIC มีอะไรบ้าง?

ปัจจุบัน TOEIC แบ่งการสอบออกเป็น 2 ประเภทหลัก คือ Listening & Reading Test และ Speaking & Writing Test ซึ่งในปัจจุบันนี้ การสอบในรูปแบบ Listening and Reading จะเป็นที่นิยมมากกว่า เรามาทำความรู้จักการสอบทั้ง 2 รูปแบบว่าแตกต่างกันอย่างไรบ้าง และรูปแบบของข้อสอบเป็นอย่างไร

1. Listening & Reading Test

การสอบ TOEIC Listening & Reading เป็นการทดสอบความสามารถทางภาษาอังกฤษที่ออกแบบมาเพื่อวัดความสามารถในการสื่อสารภาษาอังกฤษในสถานการณ์ที่เกี่ยวข้องกับการทำงานและธุรกิจระหว่างประเทศ การสอบนี้พัฒนาและดูแลโดย Educational Testing Service (ETS) ซึ่งเป็นองค์กรที่มีชื่อเสียงในการจัดทำข้อสอบมาตรฐานระดับสากล โดยแบ่งออกเป็นการสอบ 2 ส่วนหลักคือ การฟัง และการอ่าน

ทำความรู้จักกับข้อสอบ TOEIC Listening & Reading Test ให้มากขึ้น คลิกเลย!

2. Speaking & Writing Test

การสอบ TOEIC Speaking & Writing เป็นการสอบที่แยกจากการสอบ TOEIC Listening and Reading โดยจะเน้นทักษะการพูดและการเขียน ซึ่งเป็นทักษะที่สำคัญในการสื่อสารในบริบทของการทำงานในระดับนานาชาติ โดยคะแนนเต็มของการสอบ Speaking & Writing อยู่ที่ 400 คะแนน (200 คะแนนต่อทักษะ) ปัจจุบันการสอบในรูปแบบนี้ไม่ได้เป็นที่นิยมมากนัก แต่ก็ยังมีการเปิดสอบเพื่อนำคะแนนสอบเกี่ยวกับทักษะการพูดและการเขียนไปใช้ประโยชน์อยู่บ้าง อย่างไรก็ตามสามารถตรวจสอบว่าองค์กรที่คุณต้องการสมัครเข้าทำงานนั้นใช้คะแนนในทักษะด้านใด

อย่างไรก็ตามสามารถตรวจสอบว่าองค์กรที่คุณต้องการสมัครเข้าทำงานนั้นใช้คะแนนในทักษะด้านใดบ้าง เพื่อที่จะได้ตั้งงบประมาณได้ เนื่องจากการสอบ TOEIC นั้นมีค่าสมัครนั่นเอง

ทำความรู้จักกับข้อสอบ TOEIC Speaking & Writing Test ให้มากขึ้น คลิกเลย!

กฎในการสอบ TOEIC

เพื่อให้การสอบ TOEIC เป็นไปอย่างราบรื่น ผู้เข้าสอบจะต้องปฎิบัติตามกฎอย่างเคร่งครัด ได้แก่

  1. ห้ามนำของทุกอย่างที่ไม่เกี่ยวข้องเข้าห้องสอบ ยกเว้น ใบลงทะเบียน, บัตรประชาชน, บัตรนักเรียน/นักศึกษา, กระเป๋าสตางค์ และเสื้อกันหนาว *เนื่องจากแอร์ค่อนข้างเย็น แนะนำให้เตรียมเสื้อกันหนาวไปด้วยเพื่อไม่ให้เสียสมาธิในการสอบ
  2. ห้ามนำอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ทุกชนิดเข้าห้องสอบโดยเด็ดขาด ไม่ว่าจะเป็น โทรศัพท์มือถือ เครื่องคิดเลข กุญแจรถ สมาร์ตโฟน หรืออุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์อื่น ๆ
  3. ห้ามสวมนาฬิกาข้อมือทุกชนิดเข้าห้องสอบ เพราะในห้องสอบมีนาฬิกาบอกเวลา ซึ่งทุกคนต้องอิงเวลาในห้องสอบเท่านั้น
  4. ห้ามนำทิชชู่ ลูกอม ยาดม ยาหม่องเข้าห้องสอบ กรณีที่เป็นหวัดหรือภูมิแพ้ น้ำมูกไหล ให้แจ้งเจ้าหน้าที่ในห้องได้ แต่ทางที่ดี แนะนำว่าให้เตรียมตัวให้พร้อม ทานยาและพักผ่อนให้เพียงพอก่อนถึงวันสอบจะดีที่สุด
  5. หากมีกระเป๋าหรือสัมภาระอื่น ๆ สามารถฝากไว้ที่เคาน์เตอร์ได้ แต่ทางศูนย์จะไม่รับผิดชอบกรณีของหาย

ขอบคุณข้อมูลจาก: opendurian

ต้องแต่งตัวไปสอบ TOEIC อย่างไร?

เชื่อว่ามือใหม่หลาย ๆ คนที่ยังไม่เคยไปสอบ TOEIC มาก่อน จะต้องกังวลในเรื่องของการแต่งกายเป็นแน่ ว่าจะต้องแต่งตัวอย่างไรไปสอบ ต้องใส่ชุดนักศึกษาไหม หรือชุดทางการไปเลย จริง ๆ แล้วในเรื่องของชุดนั้นไม่ได้มีกฎระเบียบตายตัว หรือข้อห้ามอะไร แต่ให้ความสำคัญในชุดที่สุภาพ ไม่สวมกระโปรงสั้น หรือกางเกงสั้น สามารถสวมกางเกงยีนได้ รองเท้าผ้าใบ ไม่ต้องทางการก็ได้

คะแนนสอบ TOEIC เท่าไหร่ถึงจะดี

คะแนนสอบ TOEIC เท่าไหร่ถึงจะเรียกว่าสูง?

คะแนนในการสอบ TOEIC นั้นจะใช้ในการสมัครเข้าทำงานในองค์กรที่ใช้ภาษาอังกฤษในการสื่อสาร และยังใช้ในการเลื่อนขั้น เลื่อนเงินเดือนอีกด้วย แล้วจะต้องได้คะแนนสอบเท่าไหร่ถึงจะเรียกว่าสูง หรือเพียงพอ จริง ๆ แล้วแต่ละบริษัทหรือองค์กรจะแจ้งรายละเอียดชัดเจนแล้วว่า ตำแหน่งใดจะต้องใช้คะแนนเท่าใดในการยื่นสมัคร เพื่อให้เห็นภาพคะแนนสอบ TOEIC จึงมีการแบ่งระดับทักษะการใช้ภาษาอังกฤษดังนี้

905 – 990 (91% – 100%): International Professional Proficiency
มีความเป็นมืออาชีพระดับนานาชาติ สื่อสารได้อย่างมีประสิทธิภาพในทุกสถานการณ์

785 – 900 (79% – 90%): Working Proficiency Plus
สามารถใช้ในการทำงานได้ตามต้องการด้วยภาษาอังกฤษที่ยอมรับได้และมีประสิทธิภาพ แต่ไม่เสมอไป

605 – 780 (61% – 78%): Limited Working Proficiency
ใช้สื่อสารทั่วๆ ไปได้ แต่ใช้ภาษาสื่อสารในการทำงานได้อย่างจำกัด

405 – 600 (41% – 60%): Elementary Proficiency Plus
สามารถเริ่มบทสนทนา และสื่อสารทั่วๆ ไปแบบตัวต่อตัวได้อย่างจำกัด

255 – 400 (26% – 40%): Elementary Proficiency
มีทักษะการใช้ภาษาอย่างจำกัด สามารถสื่อสารแบบตัวต่อตัวได้ในเรื่องที่ง่ายๆ และคุ้นเคย

10 – 250 คะแนน (0% – 25%): Basic Proficiency
สามารถใช้สื่อสารเพื่อเอาตัวรอดได้เท่าที่จำเป็น

คะแนนสอบ TOEIC นำไปเทียบกับเกณฑ์ CEFR ได้อย่างไร?

CEFR หรือ Common European Framework of Reference for Languages คือเกณฑ์มาตรฐานระดับสากลที่ใช้ในการประเมินความสามารถทางภาษา CEFR ถูกพัฒนาขึ้นโดยสภายุโรปเพื่อใช้เป็นแนวทางในการวัดทักษะการใช้ภาษาของบุคคลในหลายภาษาอย่างเป็นมาตรฐานเดียวกัน ทักษะที่วัดจะครอบคลุมทั้งการฟัง การพูด การอ่าน และการเขียน โดยแบ่งออกเป็น 6 ระดับ ดังนี้

ระดับ A1 (Beginner): สามารถเข้าใจและใช้สำนวนพื้นฐานในชีวิตประจำวัน เช่น แนะนำตัวเองหรือถามคำถามง่าย ๆ

ระดับ A2 (Elementary): สามารถพูดคุยในบริบทที่คุ้นเคย เช่น การสั่งอาหารหรือการซื้อของในร้าน

ระดับ B1 (Intermediate): เข้าใจบทสนทนาที่เกี่ยวข้องกับชีวิตประจำวันและสามารถเล่าเหตุการณ์หรือแสดงความคิดเห็นในเรื่องต่าง ๆ ได้

ระดับ B2 (Upper-Intermediate): เข้าใจหัวข้อที่ซับซ้อนและสามารถสื่อสารได้อย่างมีประสิทธิภาพในหัวข้อที่เกี่ยวข้องกับงานและความสนใจส่วนตัว

ระดับ C1 (Advanced): สามารถใช้ภาษาในระดับที่มีความซับซ้อน และสื่อสารได้อย่างคล่องแคล่ว

ระดับ C2 (Proficient): เข้าใจภาษาได้ในระดับลึกทั้งการอ่านและการฟัง สามารถใช้ภาษาได้อย่างเป็นธรรมชาติและถูกต้องในทุกสถานการณ์

ตารางเทียบคะแนน TOEIC กับเกณฑ์ CEFR

เพื่อให้เห็นภาพที่ชัดเจนขึ้น สามารถดูตารางเทียบคะแนน TOEIC กับเกณฑ์ CEFR ได้ดังนี้

คะแนน TOEICระดับ CEFRระดับความชำนาญ
945+C1 - C2ระดับสูง
785 - 945B2ระดับกลางค่อนสูง
550 - 785B1ระดับกลาง
225 - 550A2ระดับพื้นฐาน
120 - 225A1ระดับเริ่มต้น

จากตารางจะเห็นได้ว่า ระดับคะแนน TOEIC นั้นแสดงให้เห็นถึงทักษะความชำนาญในการใช้ภาษาอังกฤษของแต่ละบุคคล ซึ่งคุณลองตั้งเป้าหมายไว้ว่าต้องการคะแนนสอบในระดับใด หรือหาข้อมูลเกี่ยวกับองค์กรว่าต้องใช้คะแนนเท่าใดจึงจะสามารถสมัครเข้าทำงานได้ เพื่อให้คุณมีแรงบันดาลใจในการไปให้ถึงเป้าหมายนั้น หลังจากนั้นก็หมั่นฝึกฝน หมั่นทำข้อสอบบ่อย ๆ พร้อมกำหนดระยะเวลาในการทำข้อสอบ เพื่อให้คุ้นชินและรับมือกับสถานการณ์จริงได้ เพียงเท่านี้คะแนนสอบ TOEIC ระดับสูง ๆ ก็อยู่ไม่ไกลเกินเอื้อม

สอบ TOEIC ราคาเท่าไร?

ปัจจุบันการสอบ TOEIC สำหรับประเภทการสอบบุคคลทั่วไปจะมีอัตราค่าสอบอยู่ที่ 1,800 บาท ส่วนการสอบของแต่ละองค์กรหรือสถาบันการศึกษา ค่าสอบจะตามอัตราที่ตกลงกับองค์กรหรือสถาบันการศึกษานั้น ๆ

การเดินทางไปสอบ TOEIC

เดินทางไปสอบ TOEIC ได้อย่างไร?

เนื่องจากศูนย์สอบในประเทศไทยนั้นมีหลายที่ให้เลือกสอบได้ตามความสะดวก การเดินทางไปสอบ TOEIC ก็จะขึ้นอยู่กับแต่ละสถานที่เช่นกัน เช่น กรุงเทพฯ เชียงใหม่ ขอนแก่น และภูเก็ต เพื่อความสะดวกในการเดินทางไปสอบทางเราขอแจ้งข้อมูลคร่าว ๆ สำหรับการเดินทาง เพื่อเป็นข้อมูลในเบื้องต้น

ข้อมูลการเดินทาง

  1. ศูนย์สอบ TOEIC กรุงเทพฯ (BB Building อโศก) - ชั้น 19 อาคาร BB Building ถนนอโศก-ดินแดง (ใกล้แยกอโศก) กรุงเทพฯ
    • รถไฟฟ้า BTS- ลงสถานี อโศก (ทางออก 6) จากนั้นเดินประมาณ 10 นาทีถึงอาคาร BB Building
    • รถไฟฟ้า MRT- ลงสถานี เพชรบุรี (ทางออก 2) อาคาร BB Building อยู่ฝั่งตรงข้าม เดินข้ามถนนก็จะถึงอาคาร
    • รถประจำทาง- สาย 38, 98, 136, 185 (ควรตรวจสอบเส้นทางรถประจำทางเพิ่มเติม)
    • แท็กซี่/รถยนต์ส่วนตัว- หากเดินทางโดยรถยนต์ส่วนตัวสามารถจอดรถที่อาคาร BB Building ได้ แต่แนะนำให้เผื่อเวลาเนื่องจากอาจมีการจราจรหนาแน่นในช่วงเวลาสอบ
  2. ศูนย์สอบ TOEIC เชียงใหม่ (มหาวิทยาลัยเชียงใหม่) - มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ คณะมนุษยศาสตร์ ถนนสุเทพ อำเภอเมืองเชียงใหม่
    • รถยนต์ส่วนตัว- มหาวิทยาลัยเชียงใหม่มีที่จอดรถรองรับ แต่ควรเผื่อเวลาสำหรับการเดินทางเนื่องจากการจราจรในบริเวณนี้อาจหนาแน่นในบางช่วงเวลา
    • รถประจำทาง - มีรถสองแถวแดงและบริการรถโดยสารผ่านหลายสายที่สามารถเดินทางมายังมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ได้
    • แท็กซี่/รถรับจ้าง- มีบริการรถจักรยานยนต์รับจ้างบริเวณรอบ ๆ มหาวิทยาลัย
  3. ศูนย์สอบ TOEIC ขอนแก่น (มหาวิทยาลัยขอนแก่น) - มหาวิทยาลัยขอนแก่น คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ ถนนมิตรภาพ อำเภอเมืองขอนแก่น
    • รถยนต์ส่วนตัว- สามารถขับรถไปจอดที่มหาวิทยาลัยขอนแก่น มีที่จอดรถให้บริการภายในมหาวิทยาลัย
    • รถประจำทาง - สายที่ผ่านมหาวิทยาลัยขอนแก่น เช่น รถสองแถว หรือรถมินิบัสภายในจังหวัด
    • แท็กซี่/รถรับจ้าง- สามารถใช้บริการจากตัวเมืองขอนแก่นมายังมหาวิทยาลัยได้
  4. ศูนย์สอบ TOEIC ภูเก็ต (โรงแรมรอยัล ภูเก็ต ซิตี้) - โรงแรมรอยัล ภูเก็ต ซิตี้ ถนนพังงา ตำบลตลาดใหญ่ อำเภอเมืองภูเก็ต
    • รถยนต์ส่วนตัว- สามารถขับรถมายังโรงแรมและใช้บริการที่จอดรถของโรงแรม
    • รถประจำทาง - มีรถประจำทางภายในเมืองภูเก็ตที่สามารถเดินทางมายังศูนย์สอบได้ หรืออาจเลือกใช้บริการรถมินิบัส/รถสองแถวที่วิ่งภายในเมืองภูเก็ต
    • แท็กซี่/รถรับจ้าง- มีบริการจักรยานยนต์รับจ้างหรือแท็กซี่ที่สะดวกในการเดินทางในเมืองภูเก็ต

ข้อแนะนำเพิ่มเติมสำหรับการเดินทางไปสอบ TOEIC

  1. ตรวจสอบสถานที่สอบล่วงหน้า ควรตรวจสอบแผนที่และตำแหน่งของศูนย์สอบที่คุณจะไปให้แน่ชัดล่วงหน้า หากไม่คุ้นเคยกับเส้นทาง สามารถใช้แอปพลิเคชันนำทาง เช่น Google Maps เพื่อดูเส้นทางที่สะดวกที่สุด
  2. เผื่อเวลาในการเดินทาง เนื่องจากบางช่วงเวลาการจราจรอาจหนาแน่น โดยเฉพาะในกรุงเทพฯ การเผื่อเวลาในการเดินทางอย่างน้อย 30-60 นาทีเป็นสิ่งสำคัญ เพื่อให้แน่ใจว่าคุณจะมาถึงศูนย์สอบตรงเวลา
  3. เอกสารที่ต้องใช้ในการสอบ อย่าลืมนำบัตรประจำตัวประชาชนหรือพาสปอร์ตที่ใช้ลงทะเบียนสอบไปด้วย เพราะเป็นเอกสารที่ต้องใช้ในการเข้าสอบ
  4. การจอดรถ หากเดินทางโดยรถยนต์ส่วนตัว ควรตรวจสอบสถานที่จอดรถของศูนย์สอบและเผื่อเวลาในการหาที่จอด เนื่องจากบางศูนย์อาจมีที่จอดรถจำกัด

สรุป

เป็นอย่างไรกันบ้าง กับข้อมูลในการสอบ TOEIC (Test of English for International Communication) ที่ทางเราได้รวบรวมมาให้ หวังว่าพอจะเป็นข้อมูลในเบื้องต้นเพื่อทำการเตรียมสอบให้กับทุก ๆ คนได้ไม่มากก็น้อย ทั้งนี้หากใครต้องการสอบ ตารางสอบ TOEIC สามารถติดตามการอัปเดตกับทางศูนย์สอบโดยตรง หรือ ทาง CPA Thailandจากนั้นเช็กศูนย์สอบที่ใกล้และเดินทางได้สะดวกที่สุดเพื่อจะได้มีเวลาในการเตรียมตัวมากขึ้น ไม่ต้องพะวงในเรื่องของการเดินทาง มาเต็มที่ให้กับการสอบเพื่อให้ได้คะแนนตามที่หวังกัน ทั้งนี้ทางเราต้องขอเป็นอีกหนึ่งกำลังใจให้กับผู้เข้าสอบทุกท่านด้วยนะคะ

บทความที่เกี่ยวข้อง

สั่งประเมินราคางานแปล ฟรี!

อัปโหลดเนื้อหา ● เลือกภาษาและบริการ ● กำหนดระยะเวลา ● รายละเอียดงานแปล ● เสร็จสิ้น

  1. อัปโหลดเนื้อหา
  2. เลือกภาษาและบริการ
  3. เลือกตัวเลือกการแปล
  4. เพิ่มข้อมูลเพิ่มเติม
  5. เสร็จสิ้น
อัปโหลดต้นฉบับ
อัปโหลดไฟล์ หรือพิมพ์ข้อความที่ต้องการแปลในระบบสั่งงาน
เลือกไฟล์งานที่ต้องการแปลภาษา รองรับไฟล์ทุกประเภท สามารถอัปโหลดได้มากกว่าหนึ่งไฟล์
อัปโหลดไฟล์ต้นฉบับ
การอัปโหลดไฟล์ หรือ แปลข้อความสั้น สามารถเลือกได้เพียงอย่างเดียวเท่านั้น
อัปโหลดไฟล์เพิ่มเติม
คุณสามารถพิมพ์ข้อความที่ต้องการแปล หรือทําการคัดลอกจากช่องทางอื่นๆ
ขั้นตอน 1 จาก 4
เลือกบริการและภาษา
เลือกประเภทบริการ ภาษาต้นทางและภาษาปลายทาง
บริการ *
ภาษาต้นทาง *
ภาษาปลายทาง*
ขั้นตอน 2 จาก 4
กำหนดระยะเวลา
ระยะเวลาในการเปิดเสนอราคาและระยะเวลาที่ต้องการงานแปล
ระยะเวลาเปิดเสนอราคา *
คุณต้องการงานแปลภายในกี่วัน
หลังยืนยันการชําระค่าบริการ

ขั้นตอน 3 จาก 4
ความต้องการเพิ่มเติม
แจ้งรายละเอียดหรือความต้องการอื่น ๆ เพิ่มเติมให้นักแปลทราบ
แจ้งรายละเอียดเพิ่มเติม
ขั้นตอน 4 จาก 4
กำลังดำเนินการ